TPNews, 2010-06-10 23:01:35
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เข้ายื่นหนังสือต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อร้องทุกข์ให้ดีเอสไอสอบสวนดำเนินคดีกับนายแทน เทือกสุบรรณ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง พร้อมพวก กรณีครอบครองที่ดินเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 62 ไร่
โดยโฆษกพรรคเพื่อไทย อ้างว่าที่ดินมีการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ เนื่องจากที่ดินเดิมขณะมีเอกสารสิทธิ ส.ค.1 มีที่ดิน 16 ไร่ เมื่อบริษัทเอกชนนำไปออก นส.3 มีที่ดินเพิ่มเป็น 48 ไร่ ต่อมาเมื่อนายแทน ซื้อที่ดินก็จะมีการนำไปออกโฉนด จนมีที่ดินเพิ่มเป็น 62 ไร่ ขณะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ยืนยันว่า ลูกชายซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวถูกต้อง พร้อมชี้แจงว่า กรณีเนื้อที่ดินในโฉนดที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากขั้นตอนออกโฉนดจะมีช่างรังวัดที่ดินอย่างละเอียด ทำให้ได้เนื้อที่ดินเพิ่มขึ้น เบื้องต้นอธิบดีดีเอสไอ รับเรื่องไว้ตรวจสอบ พร้อมกล่าวว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นจะเป็นอย่างไรก็จะดำเนินการตรวจสอบให้เร็วที่สุด
ทั้งนี้ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ได้นำภาพถ่ายทางอากาศ หลักฐาน สค. 1 ที่มีการนำไปออก นส.3 ที่มีที่ดินเพิ่มเป็นเท่าตัวมามอบให้ดีเอสไอ จึงน่าจะมีการเอื้อประโยชน์จากเจ้าหน้าที่กับผู้ครอบครองที่ดินชุดแรก ต่อมาผู้ครอบครองชุดที่สองคือนายแทน เทือกสุบรรณ ได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว ก่อนนำ นส.3 ไปออกโฉนดมีที่ดินเนื้อที่เพิ่มขึ้นอีก 14 ไร่เศษ นส.3 แปลงนี้เท่าที่ดูจากภาพถ่ายทางอากาศของ สค.1 เดิม จะมีเนื้อที่เพิ่มเป็น 62 ไร่
เมื่อออกโฉนด นั้นพบว่ามีความเป็นไปได้น้อยมาก เนื่องจากได้สอบถามอดีตผู้เชี่ยวชาญและช่างรังวัดของกรมที่ดิน มีการออกโฉนดน่าจะมีเงื่อนง่ำในการออกโฉนดในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 200 เมตร ยังมีความลาดชัน 35 องศา นอกจากนี้ขณะนายแทน ซื้อที่ดินแปลงนี้ก็อายุ 21 ปี เรียนอยู่ที่ประเทศออสเตรียเลีย มอบอำนาจให้คนอื่นทำนิติกรรม เราจึงมองว่านายสุเทพ ให้นายแทนถือครองทรัพย์สินแทน จึงน่าจะมีการตรวจสอบในที่ดินเขาแพงว่าน่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ในการออกโฉนดให้นายแทน และการถือครองที่ดินแทนในลักษณะนอมินี จึงขอให้อธิบดีดีเอสไอ ดำเนินคดีกับนายแทน นายสุเทพ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน โดยในวันเสาร์นี้ คณะของพรรคเพื่อไทยจะลงพื้นที่เขาแพง เกาะสมุย พร้อมด้วยสื่อมวลชนเพื่อตรวจสอบพื้นที่จริงต่อไป
ต่อมาเวลา 13.00 น.นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดแถลงข่าวกรณีพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ คดีเงินบริจาค 258 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย พ.ต.ท.วรชัย อารักษ์รัฐ ลาออกพร้อมคณะพนักงานสอบสวนอีก 10 คน พร้อมมีข่าวทางหนังสือพิมพ์บางฉบับว่า เหตุที่พนักงานสอบสวนคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ลาออกเพราะถูกแทรกแซงการทำงาน จากผู้บริหารดีเอสไอโดยการเรียกสำนวนคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ไปตรวจสอบก่อนส่งไป กกต.ว่า
หลังจากตนรับตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ การดำเนินคดีกับบริษัทแมทไซอะฯ ที่ถูกกล่าวหาทำนิติกรรมอำพรางกรณีรับจ้างพรรคประชาธิปัตย์ ทำแผ่นป้ายหาเสียงหลังบริษัทบริษัทพีทีไอ โพลีน จำกัด มหาชน บริจาคเงินให้ 258 ล้านบาท หรือที่เรียกกันว่าคดียุบพรรคประชาธิปัตย์มันเสร็จไปแล้ว มีการส่งพยานหลักฐานสำนวนไป กกต. แต่มีเรื่องร้องเรียนจากบริษัทพีทีไอฯ มายังกระทรวงยุติธรรมถึง 2 ครั้ง สาระสำคัญคือ เรื่องนี้เป็นความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ของบริษัทพีทีไอฯ แต่พนักงานสอบสวนไม่มุ่งทำคดีว่าผิดหรือไม่ กลับไปมุ่งทำคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เป็นหลัก มีการทำพยานหลักฐานไม่ถูกต้อง มีการปั้นพยานหลักฐานเท็จขึ้นมา ทำให้บริษัทพีทีไอฯ ไม่ได้รับความเป็นธรรม
โดยเฉพาะพยานปากนายประจวบ สังข์ขาว ถูกอุ้มกักตัวบังคับให้ให้การไม่ตรงกับความเป็นจริง ถัดมายังมีการนำเอาความลับในสำนวนไปให้กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อปี 2552 ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดีและบริษัทพีทีไอฯ บริษัทพีทีไอฯ จึงขอร้องเรียนให้มีการตรวจสอบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและขอให้มีการเปลี่ยนตัว การร้องเรียนดังกล่าวทำในสมัยก่อนหน้าตนเข้ารับตำแหน่ง แต่ไม่มีการดำเนินการอะไร
นายธาริต กล่าวอีกว่า กระทั่งตนรับตำแหน่งบริษัทพีทีไอฯ มีการร้องเรียนอีกครั้งว่า ให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้ ระหว่างการตรวจสอบตนเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ กฎหมายคดีพิเศษกำหนดให้ทุกคดีที่จะสั่งฟ้องต่อ อัยการต้องผ่านอธิบดีดีเอสไอสั่งคดีทุกเรื่อง ก็ต้องเรียกเอาสำนวนมาตรวจสอบเป็นเรื่องปรกติในคดีสำคัญหรือคดีที่มีการร้องเรียน เชื่อว่าพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การที่ผู้บังคับบัญชาจะเรียกสำนวนมาก็เป็นเรื่องปรกติ ต้องถือว่าเป็นสิ่งพึ่งต้องทำ
การที่พนักงานสอบสวนคดีนี้บางคนไปแถลงข่าวว่า มีความไม่สบายใจ เพราะถูกบีบบังคับ เพราะอธิบดีดีเอสไอ เรียกสำนวนมาตรวจสอบ จึงไม่เป็นความจริง ขอยืนยันว่าหนังสือที่พนักงานสอบสวนคดีนี้ขอถอนตัวไม่ได้ระบุเลยว่า ถูกบีบจากตนหรือใคร เพียงกลุ่มพนักงานสอบสวน ที่ถอนตัวอ้างว่า มีการร้องเรียนจากผู้ถูกดำเนินคดี เพราะความสบายใจของผู้ถูกดำเนินคดี จึงขอถอนตัว ซึ่งสามารถทำได้ แต่การถอนตัวของพนักงานสอบสวนคดีชุดนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะคดีเสร็จสิ้นไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องทำอีก
คดีที่ต้องทำคือคดีพีทีไอฯ ซึ่งพนักงานสอบสวนที่ถอนตัวไม่ได้เดินหน้าสอบสวนเท่าที่ควร คดีนี้ถ้าเปรียบเทียบเหมือนคดีลักทรัพย์รับของโจร คือคดีพีทีไอฯ ต้องให้ได้ความเสียก่อนว่า มีการไซฟ่อนเงินหรือเอาเงินไปจากบริษัทพีทีไอฯ จริงหรือไม่ มีการนำเงินไปใช้ไม่ถูกต้องหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนสอบไม่เสร็จ มีการบอกว่ามีการไปรับของโจรแล้ว คือเอาเงินนั้นไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายพรรคการเมือง
------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
โดยโฆษกพรรคเพื่อไทย อ้างว่าที่ดินมีการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ เนื่องจากที่ดินเดิมขณะมีเอกสารสิทธิ ส.ค.1 มีที่ดิน 16 ไร่ เมื่อบริษัทเอกชนนำไปออก นส.3 มีที่ดินเพิ่มเป็น 48 ไร่ ต่อมาเมื่อนายแทน ซื้อที่ดินก็จะมีการนำไปออกโฉนด จนมีที่ดินเพิ่มเป็น 62 ไร่ ขณะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ยืนยันว่า ลูกชายซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวถูกต้อง พร้อมชี้แจงว่า กรณีเนื้อที่ดินในโฉนดที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากขั้นตอนออกโฉนดจะมีช่างรังวัดที่ดินอย่างละเอียด ทำให้ได้เนื้อที่ดินเพิ่มขึ้น เบื้องต้นอธิบดีดีเอสไอ รับเรื่องไว้ตรวจสอบ พร้อมกล่าวว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นจะเป็นอย่างไรก็จะดำเนินการตรวจสอบให้เร็วที่สุด
ทั้งนี้ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ได้นำภาพถ่ายทางอากาศ หลักฐาน สค. 1 ที่มีการนำไปออก นส.3 ที่มีที่ดินเพิ่มเป็นเท่าตัวมามอบให้ดีเอสไอ จึงน่าจะมีการเอื้อประโยชน์จากเจ้าหน้าที่กับผู้ครอบครองที่ดินชุดแรก ต่อมาผู้ครอบครองชุดที่สองคือนายแทน เทือกสุบรรณ ได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว ก่อนนำ นส.3 ไปออกโฉนดมีที่ดินเนื้อที่เพิ่มขึ้นอีก 14 ไร่เศษ นส.3 แปลงนี้เท่าที่ดูจากภาพถ่ายทางอากาศของ สค.1 เดิม จะมีเนื้อที่เพิ่มเป็น 62 ไร่
เมื่อออกโฉนด นั้นพบว่ามีความเป็นไปได้น้อยมาก เนื่องจากได้สอบถามอดีตผู้เชี่ยวชาญและช่างรังวัดของกรมที่ดิน มีการออกโฉนดน่าจะมีเงื่อนง่ำในการออกโฉนดในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 200 เมตร ยังมีความลาดชัน 35 องศา นอกจากนี้ขณะนายแทน ซื้อที่ดินแปลงนี้ก็อายุ 21 ปี เรียนอยู่ที่ประเทศออสเตรียเลีย มอบอำนาจให้คนอื่นทำนิติกรรม เราจึงมองว่านายสุเทพ ให้นายแทนถือครองทรัพย์สินแทน จึงน่าจะมีการตรวจสอบในที่ดินเขาแพงว่าน่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ในการออกโฉนดให้นายแทน และการถือครองที่ดินแทนในลักษณะนอมินี จึงขอให้อธิบดีดีเอสไอ ดำเนินคดีกับนายแทน นายสุเทพ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน โดยในวันเสาร์นี้ คณะของพรรคเพื่อไทยจะลงพื้นที่เขาแพง เกาะสมุย พร้อมด้วยสื่อมวลชนเพื่อตรวจสอบพื้นที่จริงต่อไป
ต่อมาเวลา 13.00 น.นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดแถลงข่าวกรณีพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ คดีเงินบริจาค 258 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย พ.ต.ท.วรชัย อารักษ์รัฐ ลาออกพร้อมคณะพนักงานสอบสวนอีก 10 คน พร้อมมีข่าวทางหนังสือพิมพ์บางฉบับว่า เหตุที่พนักงานสอบสวนคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ลาออกเพราะถูกแทรกแซงการทำงาน จากผู้บริหารดีเอสไอโดยการเรียกสำนวนคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ไปตรวจสอบก่อนส่งไป กกต.ว่า
หลังจากตนรับตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ การดำเนินคดีกับบริษัทแมทไซอะฯ ที่ถูกกล่าวหาทำนิติกรรมอำพรางกรณีรับจ้างพรรคประชาธิปัตย์ ทำแผ่นป้ายหาเสียงหลังบริษัทบริษัทพีทีไอ โพลีน จำกัด มหาชน บริจาคเงินให้ 258 ล้านบาท หรือที่เรียกกันว่าคดียุบพรรคประชาธิปัตย์มันเสร็จไปแล้ว มีการส่งพยานหลักฐานสำนวนไป กกต. แต่มีเรื่องร้องเรียนจากบริษัทพีทีไอฯ มายังกระทรวงยุติธรรมถึง 2 ครั้ง สาระสำคัญคือ เรื่องนี้เป็นความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ของบริษัทพีทีไอฯ แต่พนักงานสอบสวนไม่มุ่งทำคดีว่าผิดหรือไม่ กลับไปมุ่งทำคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เป็นหลัก มีการทำพยานหลักฐานไม่ถูกต้อง มีการปั้นพยานหลักฐานเท็จขึ้นมา ทำให้บริษัทพีทีไอฯ ไม่ได้รับความเป็นธรรม
โดยเฉพาะพยานปากนายประจวบ สังข์ขาว ถูกอุ้มกักตัวบังคับให้ให้การไม่ตรงกับความเป็นจริง ถัดมายังมีการนำเอาความลับในสำนวนไปให้กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อปี 2552 ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดีและบริษัทพีทีไอฯ บริษัทพีทีไอฯ จึงขอร้องเรียนให้มีการตรวจสอบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและขอให้มีการเปลี่ยนตัว การร้องเรียนดังกล่าวทำในสมัยก่อนหน้าตนเข้ารับตำแหน่ง แต่ไม่มีการดำเนินการอะไร
นายธาริต กล่าวอีกว่า กระทั่งตนรับตำแหน่งบริษัทพีทีไอฯ มีการร้องเรียนอีกครั้งว่า ให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้ ระหว่างการตรวจสอบตนเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ กฎหมายคดีพิเศษกำหนดให้ทุกคดีที่จะสั่งฟ้องต่อ อัยการต้องผ่านอธิบดีดีเอสไอสั่งคดีทุกเรื่อง ก็ต้องเรียกเอาสำนวนมาตรวจสอบเป็นเรื่องปรกติในคดีสำคัญหรือคดีที่มีการร้องเรียน เชื่อว่าพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การที่ผู้บังคับบัญชาจะเรียกสำนวนมาก็เป็นเรื่องปรกติ ต้องถือว่าเป็นสิ่งพึ่งต้องทำ
การที่พนักงานสอบสวนคดีนี้บางคนไปแถลงข่าวว่า มีความไม่สบายใจ เพราะถูกบีบบังคับ เพราะอธิบดีดีเอสไอ เรียกสำนวนมาตรวจสอบ จึงไม่เป็นความจริง ขอยืนยันว่าหนังสือที่พนักงานสอบสวนคดีนี้ขอถอนตัวไม่ได้ระบุเลยว่า ถูกบีบจากตนหรือใคร เพียงกลุ่มพนักงานสอบสวน ที่ถอนตัวอ้างว่า มีการร้องเรียนจากผู้ถูกดำเนินคดี เพราะความสบายใจของผู้ถูกดำเนินคดี จึงขอถอนตัว ซึ่งสามารถทำได้ แต่การถอนตัวของพนักงานสอบสวนคดีชุดนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะคดีเสร็จสิ้นไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องทำอีก
คดีที่ต้องทำคือคดีพีทีไอฯ ซึ่งพนักงานสอบสวนที่ถอนตัวไม่ได้เดินหน้าสอบสวนเท่าที่ควร คดีนี้ถ้าเปรียบเทียบเหมือนคดีลักทรัพย์รับของโจร คือคดีพีทีไอฯ ต้องให้ได้ความเสียก่อนว่า มีการไซฟ่อนเงินหรือเอาเงินไปจากบริษัทพีทีไอฯ จริงหรือไม่ มีการนำเงินไปใช้ไม่ถูกต้องหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนสอบไม่เสร็จ มีการบอกว่ามีการไปรับของโจรแล้ว คือเอาเงินนั้นไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายพรรคการเมือง
------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น