คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร? เรื่อง : ปรับขบวน โดย : กาหลิบ
ขณะนี้พวกเราส่วนใหญ่ในฝ่ายประชาธิปไตยกำลังอึดอัดใจและเป็นทุกข์ บางท่านถึงกับเจ็บปวดกับบรรดาข่าวทั้งหลายทั้งที่ลือและเป็นความจริงเกี่ยวข้องกับเรื่อง “เจรจา” และ “ปรองดอง” จนไม่รู้จะสลัดความรู้สึกทุรนทุรายนี้อย่างไร ภาพความตายของวีรชนการเมืองทุกยุค จนถึงวันรุมฆ่ากลางเมืองที่ราชประสงค์ ปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิด ในใจเริ่มถามคำถามว่า มวลชนที่ลุกขึ้นสู้แล้วนั้น มีราคาขนาดไหนในหัวใจขององค์กรนำและแกนนำ หรือเพราะไม่มีศรัทธานั้นเลย จึงไปตั้งโต๊ะเจรจากันในวันนี้?
นี่คือคำถามที่ชอบธรรมและต้องตอบให้ชัด
การต่อสู้ทางการเมืองของสยามประเทศ เริ่มต้นมาตั้งแต่คราว ร.ศ. ๑๓๐ ที่คิดเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยสิ้นเชิง แต่แผนแตกและถูกลงโทษกันอย่างถ้วนหน้าในสมัยรัชกาลที่ ๖ ต่อมาคณะราษฎร์ประสบความสำเร็จในการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน และประกาศเปลี่ยนจากระบอบราชาธิปไตย มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจจริงและมีพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ แต่ก็แพ้พ่ายต่อเขาอย่างยับเยินในเวลาต่อมา อำนาจรัฐถูกดูดกลับไปเป็นของกลุ่มอำนาจเดิม สถาบันฝ่ายประชาธิปไตยถูกทำลายลงอย่างราบคาบและเป็นระบบ ทำลายอยู่หลายปี และด้วยรัฐประหารที่ทำกันหลายครั้ง ไม่ว่าจะสภาผู้แทนราษฎร พรรคการเมือง รัฐบาลเลือกตั้ง จนขาดความเชื่อมโยงกับปวงชนชาวไทยไปจนหมด รัฐบาลพรรคไทยรักไทยระหว่าง พ.ศ.๒๕๔๔-๒๕๔๙ ฟื้นคืนมาได้ใหม่และถูกทำลายใหม่ด้วยเครือข่ายอำนาจเก่าที่มีประสิทธิภาพและความครบถ้วนกว่าเดิมในแง่วิชามาร
ในขบวนประชาธิปไตยที่เล่ามาโดยย่อนี้ สถาบันประชาชนที่ปรากฏขึ้นมาในรูปของมวลชนผู้รักและหวงแหนประชาธิปไตย ก็พัฒนาขึ้นโดยลำดับเช่นกัน จากความไม่เกี่ยวข้องเลยในกรณี ร.ศ.๑๓๐ และการเปลี่ยนแปลงการปกครองแห่ง พ.ศ.๒๔๗๕ มามีส่วนร่วมอย่างเกรียงไกรในคราว ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ๖ตุลาคม ๒๕๑๙ และพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ และเกี่ยวข้องโดยตรงทั้งทางกว้างและลึก ตั้งแต่การรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันและกลายเป็นโฉมหน้าใหม่ของการเมืองไทยที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน
ความตายที่ราชประสงค์ไม่ได้เกิดจากการปะทะหรือความรุนแรงที่สาดใส่ไปมาระหว่างสองฝ่าย แต่เกิดจากความยืนหยัดไม่ยอมถอยของมวลชนส่วนใหญ่ที่ไม่มีเครื่องมือต่อสู้เพื่อป้องกันตนเองอย่างเพียงพอ โศกนาฏกรรมครั้งนี้แสดงอยู่ในตัวเองว่า ฐานะการมีส่วนร่วมของประชาชนยกสูงขึ้นอย่างไม่คาดฝันและจะมองข้ามมิได้ การดำเนินการทางการเมืองใดๆ จากเส้นแบ่งนั้น ก็ทำมิได้เช่นกัน หากไม่ปรึกษาหารือกับประชาชนเสียก่อน
จะทำสงครามก็ต้องปรึกษา จะผวากอดขาก็ต้องหารือ
เหตุผลประการเดียวคือมวลชนประชาธิปไตยมีตัวตนจริงในปัจจุบัน มิใช่เพียงตัวเลขให้ราชการมารีดนาทาเร้นหรือฝ่ายเลือกตั้งเอามาเป็นฐานเสียงให้เหยียบขึ้นไปสู่อำนาจราชศักดิ์เท่านั้น
แต่ถ้าหากไม่คิดหารือกัน และเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่รู้เลยว่ากำลังถอยหลัง มวลชนก็ย่อมนำเอาเหตุการณ์เยี่ยงนี้มาเป็นข้อมูลใหม่และประเมินขบวนประชาธิปไตยได้ ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นในผู้นำเดิมและแกนนำเดิม
ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรนำทางการเมืองกับมวลชนวันนี้ขึ้นอยู่กับแนวทางอย่างเดียวเท่านั้น ใครนำแนวทางที่มวลชนส่วนใหญ่เลื่อมใสว่าถูกต้อง บารมีทางการเมืองก็จะเกิดกับผู้นั้นไปเรื่อย จนถึงวันที่เกิดคิดกำเริบเสิบสาน และหยุดฟังเสียงมวลชนขึ้นมาเมื่อใด อำนาจและบารมีเหล่านั้นก็จะหมดลงโดยพลันเหมือนปิดก๊อกน้ำ
นาทีนี้จึงเป็นความระทึกใจของขบวนประชาธิปไตยว่า ใครจะออกหัวหรือออกก้อย แต่สำหรับคนที่ต่อสู้มาอย่างทุ่มเท จริงจัง และสละทุกอย่างมานานถึงสี่ปีหรือกว่านั้น กลับเป็นนาทีที่หายใจไม่สะดวก และกลัวอยู่ลึกๆ ในใจว่าเขาจะทำให้เราผิดหวัง
สำหรับท่านที่เป็นทองของแท้ และกำลังไม่สบายใจอย่างนี้ ขอบอกท่านด้วยความเคารพว่า ขณะนี้คือนาทีที่มีคุณค่าอย่างสูงต่อขบวนประชาธิปไตยในระยะยาว
“การเจรจาปรองดอง” เที่ยวนี้ จะช่วยให้ท่านแจ่มแจ้งในหัวใจว่า ใครใช่และใครไม่ใช่สำหรับการเดินทางไกลของพวกเราชาวประชาธิปไตย เพื่อให้ขบวนใหญ่ใสสะอาดปราศจากมลทิน และเป็นระดับที่ยกสูงขึ้นสำหรับการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในภาพรวมจนกว่าจะชนะ
นี่คือการปรับขบวนประชาธิปไตยอีกครั้งเท่านั้นเอง.
-------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น