คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร? เรื่อง "นำแกน" โดย กาหลิบ
๑๙ กันยายน ๒๕๕๓
ขบวนประชาธิปไตยยกระดับสูงขึ้นทันทีที่คลื่นมหาชนคนเสื้อแดงไหลเข้าสู่พื้นที่ราชประสงค์และที่เชียงใหม่โดยไม่มี “แกนนำ” ที่ชัดเจนเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน คำพูดเท่ๆ ที่ว่าขอให้คนเสื้อแดงนำตัวเองโดยไม่ต้องรอแกน บัดนี้ได้กลายเป็นความจริงขึ้นในใจกลางราชอาณาจักรไทยแล้ว อย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง
แล้วหน้าไหนมันจะยืนยันว่าประเทศไทยจะไม่เปลี่ยน เมื่อแกนนำลดความสำคัญลงไปเป็น “แกนนอน” และมวลมหาประชาชนสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้ “นำแกน” แล้วในขณะนี้
เหงื่อแตกอยู่ตรงไหนเล่าท่านมหาอำมาตย์?
สถานการณ์ขณะนี้นำเมืองไทยเข้าสู่ภาวะใหม่ ประชาชนเป็นผู้ตื่น ผู้ตระหนัก และเป็นผู้เรียกหาสิ่งที่ “เขา” แอบลักเอาไปเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว เพียงแต่การตื่น ตระหนัก และเรียกหากำลังเกิดขึ้นอย่างเป็นกระบวนการ ตามวิวัฒนาการทางสังคม อันเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เทวดาองค์ไหนก็ไม่อาจห้ามได้ การเลื่อนไหลไปตามกระบวนการนี้ บางทีก็รู้สึกกันว่าช้า ไม่ทันใจ เพราะกลัวว่าเผด็จการเจ้าเก่าจะหวนกลับมาครองบัลลังก์ได้อย่างเต็มภาคภูมิอีก
เห็นภาพในวันรำลึกถึงการสูญเสียสิทธิทางการเมืองนั้นแล้ว บอกได้เลยว่าไม่ต้องกลัว สิ่งที่เกิดในขณะนี้เป็นความเปลี่ยนแปลงที่จะไม่ย้อนหลังกลับ ความพยายามให้ย้อนยุคหรือย้อนกลับดำรงอยู่เสมอก็จริง แต่ฝ่าย “เขา” จะต้องทุ่มทุนสร้างอย่างเปลืองเลือดเปลืองเนื้อ และกินทุนตัวเองไม่รู้จักเท่าไหร่จึงจะได้ตามนั้น จนต้องมานั่งชั่งใจว่าทำแล้วคุ้มหรือไม่
ครับ ประชาชนท่านแสดงตัวเองชัดเจนจนฝ่ายเผด็จการโบราณเริ่มฉุกคิดว่า การย้อนเวลากลับไปสู่ยุคแห่งความสุขสมของตนเอง ด้วยอำนาจศักดิ์สิทธิ์เหนือทุกคนในทุกตารางนิ้วของประเทศ เป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย
แต่ฝ่ายประชาชนโปรดอย่าลืมว่านั่นคือการคิดแบบมีเหตุผล (rational thinking) แปลว่าแม้แต่ผู้ร้ายที่เลวที่สุด ก็ยังคำนวณผลได้เสียก่อนตัดสินใจกระทำการใดๆ
แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามเราเขาไม่ใช่คนปกติ อัตตาสูงเยี่ยมเทียมฟ้า คิดว่าตนเองเป็นมาตรฐานแห่งความดีที่ใครๆ ต้องมาวัดว่าต่ำลงไปจากตนเท่าไหร่ ก็ต้องสงเคราะห์ว่าเป็นคนบ้า และมีความคิดฟุ้งกระจายไร้เหตุผล เอาตัวตนเข้าวัดประเมินทุกอย่าง วัดด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันแปรปรวน อย่างนี้ก็เรียกว่าคิดโดยไม่มีเหตุผล (irrational thinking) ผู้ที่เป็นประชาชนก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกทำร้าย
อีกมิติหนึ่งที่น่าชมคือ การวางตัวของผู้ที่เรียกตนเองว่าแกนนอน ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ บุญงามอนงค์ คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข หรือท่านอื่นๆ ล้วนแต่เรียนรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้และไม่พยายามแสดงตนเองว่าเป็นผู้ “ควบคุม” มวลชนเลยแม้แต่น้อย หากแสดงบทบาทในฐานะนักกิจกรรมที่มวลชนท่านเลือกได้ว่าอยากร่วมงานด้วยหรือไม่ ไม่มีถ้อยคำสำนวนชนิดบีบบังคับ หรือแบ่งแยกออกเป็นฝ่ายแท้ฝ่ายเทียมซึ่งเป็นจุดอ่อนของขบวนการในห้วงเวลาที่ผ่านมา เราก็หวังกันว่า “แกนนำ” เดิมจะเรียนรู้ในสิ่งเดียวกันนี้เพื่อสร้างขบวนการที่ใหญ่โตขึ้นในระยะต่อไป
วิธีการของ “บ.ก.ลายจุด” และคุณสมยศฯ ทั้งในกิจกรรมและการแสดงออก คือการเคลื่อนขบวนประชาธิปไตยด้วยวิถีทางประชาธิปไตย ไม่เดินเครื่องยนต์ประชาธิปไตยด้วยเนื้อในที่เป็นเผด็จการ ถ้ารักษาไว้ได้โดยตลอดจะทำให้ขบวนประชาธิปไตยใสสะอาดทั้งภายนอกและภายใน
โดยเฉพาะเมื่อคุณสมบัติฯ ให้สัมภาษณ์ว่ากิจกรรมฝ่ายท่านใช้ต้นทุนต่ำแต่ประสิทธิภาพสูงก็ยิ่งช่วยให้พ้นจากข้อครหาและมลทินในเรื่องเงินทองและผลประโยชน์ส่วนตัว มาตรฐานนี้จะดึงดูดมวลชนบริสุทธิ์ได้อีกมาก และเชื่อว่าเป็นมวลชนที่จะร่วม “เดินไกล” เพราะไม่มีข้อขัดข้องในใจใดๆ อีกแล้ว
การชุมนุมเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๓ จึงเป็นงานรับปริญญาของมหาวิทยาลัยประชาธิปไตยไทยที่เรียนรู้กันมาถึง ๔ ปีเต็มๆ คนที่ไปร่วมในวันนั้นเป็นบัณฑิตทั้งนั้น แถมยังไม่มีอาจารย์โดยตำแหน่ง คนที่ไปร่วมงานนั้นรู้ว่าพวกเราประชาชนจะต้องเรียนรู้จากกันและกันเอง ผลัดกันเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กันตามสถานการณ์
ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ที่กำลังจะออกมาสู้ชีวิตจริงครับ.
----------------------------------------------------
ที่มา : http://www.democracy100percent.blogspot.com/
---------------------------------------------------
ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น